ตลาดเริ่มขายหลังจากได้รับข่าวสาร การบวกกับผลกระทบจากภาษีที่สะท้อนในข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทำให้ S&P 500 ไม่สามารถรักษาระดับสูงสุดที่ทำไว้ได้ ดัชนีหุ้นที่หลากหลายนี้แตะถึง 6,300 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่กลับไม่สามารถยืนหยัดอยู่ที่จุดสูงสุด เดี่ยวการค้าครั้งใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ กับอินโดนีเซียคราวนี้ก็ไม่อาจดึงดูดให้นักลงทุนสหรัฐฯ แห่ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นได้

แม้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นก็ยังไม่อาจหยุดการขายหุ้นในกลุ่มธนาคาร ก่อนหน้านี้ KBW Bank Index ทำผลได้ดีกว่า S&P 500 นักลงทุนตัดสินใจซื้อตามข่าวลือไปก่อน จากนั้นก็มีการขายที่เกิดขึ้นจากข้อมูลจริง

ผลการดำเนินงานของดัชนีธนาคาร

ที่น่าสนใจคือ ปัจจัยความประหลาดใจของ S&P 500 — เปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่ทำผลงานเกินกว่าการคาดการณ์ — ยังคงอยู่ที่ 75% อย่างต่อเนื่องในหลายไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมักจะเกินความคาดหวังของ Wall Street บ่อยครั้ง แต่ราคาหุ้นของพวกเขาก็มักจะลดลงทันทีหลังจากที่มีการรายงานผลประกอบการ

ยกตัวอย่างเช่น Microsoft ทำผลงานเกินการคาดการณ์ถึง 11 ครั้ง แต่ใน 7 ครั้งจากนั้นราคาหุ้นกลับลดลง Alphabet มีแนวทางที่ดีต่อเนื่องตลอด 9 ไตรมาส แต่กลับปิดตลาดด้วยราคาลดลงถึง 5 ครั้งในวันที่รายงานผลประกอบการ NVIDIA ก็ทำผลงานเกินการคาดการณ์มาตลอดตั้งแต่การเปิดตัว ChatGPT ในช่วงปลายปี 2022 แต่ราคาหุ้นยังคงลดลงใน 3 โอกาสจากนั้น

นักลงทุนตอนนี้ขายตามข่าวลือและปรับลดการคาดการณ์ของพวกเขา ในเดือนกรกฎาคม 2024 การคาดการณ์รายได้สุทธิต่อหุ้น (EPS) สำหรับ Q2 2025 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 14.7% แต่เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 11.7% และตอนนี้ลดลงไปอีกเหลือเพียง 4.8%

การเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์ EPS สำหรับบริษัทใน S&P 500

พฤติกรรมของวอลล์สตรีทนั้นเข้าใจได้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีของสหรัฐฯ ยังคงสูงอย่างมาก นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมจึงมีการปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ของดัชนีหุ้นเป็นวงกว้างบ่อยครั้ง ในเดือนธันวาคม การคาดการณ์แบบฉันทามติตั้งอยู่ที่ 6614 ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13% ในช่วงสิ้นปี 2025 ในเดือนพฤษภาคม การคาดการณ์ถูกปรับลดลงเก้าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราการปรับเปลี่ยนที่เร็วที่สุดตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในเดือนมิถุนายน นักวิเคราะห์ได้กลับไปอยู่ในกลุ่มตลาดขาขึ้นอีกครั้ง

ความลังเลของดัชนี S&P 500 ที่ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ แม้จะมีข่าวดีเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้า รวมถึงแนวโน้มของนักลงทุนที่จะขายเมื่อมีข่าวดี ทำให้ความเสี่ยงของการปรับฐานในดัชนีทั้งหมดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐสำหรับเดือนมิถุนายนออกมา อัตราของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะผ่อนคลายนโยบายการเงินลงใหม่ในเดือนกันยายนจาก 63% เหลือ 54% คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงสูง ไม่ว่าดอนัลด์ ทรัมป์จะเรียกร้องให้ลดเท่าไรก็ตาม ซึ่งเป็นข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้น

ในแง่ของเทคนิค ทางกราฟรายวันของ S&P 500 แสดงหลักการว่า: หากตลาดไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดหวังไว้ มันมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้าม ความล้มเหลวของกลุ่มซื้อในการรักษาระดับที่สูงกว่า 6300 เป็นสัญญาณของความอ่อนแอ การลดลงต่ำกว่าราคาที่ยุติธรรมบ่งชี้ว่าความได้เปรียบกำลังเปลี่ยนไปที่กลุ่มขาย การทะลุระดับหมุนเวียนที่ 6225 จะเป็นเหตุผลที่ควรล็อกกำไรจากการลงทุนในตำแหน่งซื้อและย้ายไปสู่การขายล่วงหน้า